วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โคพื้นเมืองลูกผสม


                                                     https://youtu.be/TYMFvPYl_Eg

โคพื้นเมือง

                                                    https://youtu.be/7gQByS7rJL8

ข้อดีของโคพื้นเมือง

ข้อดีของโคพื้นเมือง
  1. เลี้ยงง่าย หากินเก่ง ไม่เลือกอาหาร เพราะผ่านการคัดเลือกแบบธรรมชาติในการเลี้ยงแบบไล่ต้อน โดยเกษตรกร และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเลี้ยงโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่มีอย่างจำกัดได้เป็นอย่างดี
  2. ให้ลูกดก ส่วนใหญ่ให้ปีละตัว เพราะเกษตรกรคัดแม่โคที่ไม่ให้ลูกออกอยู่เสมอ
  3. ทนทานต่อโรคและแมลงและสภาพอากาศในบ้านเราได้ดี
  4. ใช้แรงงานได้ดี
  5. แม่โคพื้นเมืองเหมาะที่จะนำมาผสมพันธุ์กับพ่อพันธุ์หรือผสมเทียมกับพันธุ์อื่น เช่น บราห์มัน  โคพันธุ์ตาก โคกำแพงแสน หรือโคกบินทร์บุรี
  6. มีเนื้อแน่น เหมาะกับการประกอบอาหารไทย
  7. สามารถใช้งานได้
ข้อเสีย
    • เป็นโคขนาดเล็ก เพราะถูกคัดเลือกมาในสภาพการเลี้ยงที่มีอาหารจำกัด
    • ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงขุน เพราะมีขนาดเล็กไม่สามารถทำน้ำหนักซากได้ตามที่ตลาดโคขุนต้องการ คือที่น้ำหนักมีชีวิต 450 กก. และเนื้อไม่มีไขมันแทรก
    • เนื่องจากแม่โคมีขนาดเล็ก จึงไม่เหมาะสมที่จะผสมกับโคพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ชาร์โรเล่ส์ และซิมเมนทัล เพราะอาจมีปัญหาการคลอดยาก

  1. เลี้ยงง่าย หากินเก่ง ไม่เลือกอาหาร เพราะผ่านการคัดเลือกแบบธรรมชาติในการเลี้ยงแบบไล่ต้อน โดยเกษตรกร และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเลี้ยงโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่มีอย่างจำกัดได้เป็นอย่างดี
  2. ให้ลูกดก ส่วนใหญ่ให้ปีละตัว เพราะเกษตรกรคัดแม่โคที่ไม่ให้ลูกออกอยู่เสมอ
  3. ทนทานต่อโรคและแมลงและสภาพอากาศในบ้านเราได้ดี
  4. ใช้แรงงานได้ดี
  5. แม่โคพื้นเมืองเหมาะที่จะนำมาผสมพันธุ์กับพ่อพันธุ์หรือผสมเทียมกับพันธุ์อื่น เช่น บราห์มัน  โคพันธุ์ตาก โคกำแพงแสน หรือโคกบินทร์บุรี
  6. มีเนื้อแน่น เหมาะกับการประกอบอาหารไทย
  7. สามารถใช้งานได้
ข้อเสีย
    • เป็นโคขนาดเล็ก เพราะถูกคัดเลือกมาในสภาพการเลี้ยงที่มีอาหารจำกัด
    • ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงขุน เพราะมีขนาดเล็กไม่สามารถทำน้ำหนักซากได้ตามที่ตลาดโคขุนต้องการ คือที่น้ำหนักมีชีวิต 450 กก. และเนื้อไม่มีไขมันแทรก
    • เนื่องจากแม่โคมีขนาดเล็ก จึงไม่เหมาะสมที่จะผสมกับโคพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ชาร์โรเล่ส์ และซิมเมนทัล เพราะอาจมีปัญหาการคลอดยาก

พันธุ์โคพื้นเมืองในประเทศไทย

พันธุ์โคพื้นเมืองในประเทศไทย
    โคพื้นเมืองของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Bos Taurus L. มีลักษณะใกล้เคียงกับโคพื้นเมืองของประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย ลักษณะรูปร่างกระทัดรัด ลำตัวเล็ก ขาเรียวเล็ก ยาว เพศผู้มีหนอกขนาดเล็ก มีเหนียงคอ แต่ไม่หย่อนยานมาก หูเล็ก หนังใต้ท้องเรียบ มีสีไม่แน่นอน เช่น สีแดงอ่อน เหลืองอ่อน ดำ ขาวนวล น้ำตาลอ่อน และอาจมีสีประรวมอยู่ด้วย
 แบ่งออกตามลักษณะรูปร่างภายนอกและวัตถุประสงค์การเลี้ยงได้ 4 สายพันธุ์ คือ 
1. โคพื้นเมืองโคอีสาน
        ลักษณะประจำพันธุ์ 
        มีขนสั้นเกรียน โดยทั่วไปมีลำตัวสีน้ำตาลแกมแดง แต่อาจมีสีแตกต่างกันหลายสี เช่น ดำ แดง น้ำตาล ขาว เหลือง เป็นต้น หน้ายายบอบบาง หน้าผากแคบ ตะโหนกเล็ก เหนียงคอ และหนังใต้ท้องไม่มากนักมีรูปร่างขนาดเล็ก น้ำหนักแรกเกิด 16 กก. น้ำหนักหย่านมเมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 94 กก. น้ำหนักโตเต็มที่ เพศผู้ 300 - 350 กก. เพศเมีย 22 -250 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 2.71 ปี ระยะการอุ้มท้อง 270 - 275 วัน ช่วงห่างการให้ลูก 395 วัน
        การกระจายของประชากร เลี้ยงกันมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งตอนล่างและตอนบน เพื่อใช้ลากจูง เทียมเกวียน และเป็นอาหารโปรตีนที่สำคัญโดยเฉพาะในงานพิธีและเทศกาลที่สำคัญ

   2. โคพื้นเมืองภาคเหนือ (ขาวลำพูน)
 ลักษณะประจำพันธุ์ 
     เขาและกีบเท้า มีสีน้ำตาลส้ม ขอบตา และเนื้อจมูก มีสีชมพูส้ม ขนพู่หา สีขาวไม่มีเหนียงสะดือ ขนาดเหนียงปานกลางไม่พับย่นมาก เหมือนกับโคบราห์มัน น้ำหนักแรกเกิด 18 กก. น้ำหนักหย่านมเมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 122 กก. น้ำหนักโตเต็มที่เพศผู้  350-450 กก. เพศเมีย 300-350 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 2.5 ปี ระยะการอุ้มท้อง 290-295 วัน ช่วงห่างการให้ลูก 460 วัน

   การกระจายของประชากร โคขาวลำพูนเป็นโคพันธุ์พื้นเมืองพันธุ์หนึ่ง ประวัติความเป็นมาอย่างไรไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด กลุ่มคนบางคนเล่าว่า เกิดจากการกลายพันธุ์ของโคพื้นเมืองในสมัยพระนางจามเทวี เป็นสัตว์คู่บารมีของชนชั้นปกครองสมัยนั้น จากการออกสำรวจของเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เกี่ยวกับข้อมูลของโคขาวลำพูน โดยออกเยี่ยมเยียนเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตจังหวัดลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลในลักษณะเดียวกันว่า "โคขาวลำพูนได้พบเห็นมาช้านานแล้วอย่างน้อยก็ 70 -80 ปี และจะพบเห็นมากที่สุดในเขตพื้นที่ของจังหวัดลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เท่านั้น" เกษตรกรบางท่านเล่าว่า "ชาวเมืองลำพูนนิยมใช้โคขาวลำพูนลากเกวียน เพราะจะทำให้มีสง่า ราศีดี เนื่องจากเป็นโคที่มีลักษณะใหญ่และมีสีขาวปลอดทั้งตัว ใครที่มีโคขาวลำพูนเทียมเกวียนในสมัยก่อนเปรียบได้กับการมีรถเบนซ์ไว้ขับในสมัยนี้นั่นเอง และเนื่องจากมีต้นกำเนิดที่จังหวัดลำพูน จึงเรียกโคพันธุ์นี้ว่า "โคขาวลำพูน" จากคุณสมบัติที่มีลักษณะเด่นและเป็นลักษณะเฉพาะพันธุ์ โคขาวลำพูนจึงได้รับการคัดเลือกเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

3. โคพื้นเมืองภาคใต้ (โคชน)
     ลักษณะประจำพันธุ์  
     มีสีแดง สีน้ำตาลอ่อน ดำ และด่าง ไม่มีเหนียงสะดือ มีเหนียงคอบาง น้ำหนักแรกเกิด 15 กก. น้ำหนักหย่านม เมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 88 กก. น้ำหนักโตเต็มที่ เพศผู้ 280 - 320 กก.เพศเมีย 230 - 280 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 3 ปี ระยะการอุ้มท้อง 270 - 275 วัน
     การกระจายของประชากร นิยมเลี้ยงกันมากทางภาคใต้ ซึ่งจากการที่คนภาคใต้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เมื่อหลังฤดูเก็บเกี่ยวประมาณเดือนมีนาคม –เมษายน ชาวนาจะปล่อยโคออกหากินตามท้องทุ่งเป็นฝูงใหญ่  โคจากในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านมีโอกาสได้พบกัน ประกอบกับช่วงฤดูผสมพันธุ์โคตัวผู้จึงชนกันแย่งชิงเป็นจ่าฝูง เพื่อจะได้ยึดครองโคตัวเมีย ชาวบ้านจึงเห็นลีลาการชนของโคบางตัว เกิดความรู้สึกพอใจ ประทับใจ และคัดเลือกไว้เป็นโคขุน ซึ่งโคขุนจะต้องเป็นโคตัวผู้ที่มีลักษณะดี มีอายุประมาณ 4-6 ปี ต้องมีสายพันธุ์เป็นโคชนโดยเฉพาะ ผ่านการเลี้ยงดูให้ร่างกายแข็งแรงและฝึกชนบ่อยๆ จนกลายเป็นโคชนที่มีคุณสมบัติเด่นเฉพาะ เช่น แข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบในการชน และทรหดอดทนเป็นพิเศษ เป็นต้น โคชนมีมากที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และสงขลา

โคพื้นเมือง


 ความสำคัญของโคพื้นเมือง 

      โคพื้นเมือง ได้มีการเลี้ยงดูมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดในสายพันธุ์ดั้งเดิมและประวัติความเป็นมาในอดีต โคพื้นเมืองจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของประเทศ โดยโคพื้นเมืองจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของประเทศ โดยโคพื้นเมืองแท้ๆจะอยู่ในเขตภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนทางภาคเหนือและภาคใต้โคพื้นเมืองบางส่วนจะมีรูปต่างแตกต่างกันออกไป เพราะมีสายเลือดโคอื่น โดยเฉพาะโคอินเดียวผสมปนเปไปบ้างแล้ว จึงมีโครงสร้างใหญ่ โดยเฉพาะพ่อโคบางตัวอาจะมีน้ำหนักตัวสูงถึง 480 กิโลกรัม โคพื้นเมืองจัดอยู่ในกลุ่มโคอินเดีย Bos indicus มีขนาดค่อนข่างเล็ก มีขนสั้นเกรียน โดยทั่วไปมีลำตัวสีน้ำตาลแกมแดง แต่อาจมีสีแตกต่างกันหลายสี เช่น ดำ แดง น้ำตาล ขาว เหลือง เป็นต้น หน้ายาวบอบบาง หน้าผากแคบ ตะโหนก (hump) เล็ก เหนียงคอ (dewlap) และหนังใต้ท้องไม่มากนัก ใบหูเล็ก นิสัยเปรียว ตื่นตกใจง่ายรักฝูง จดจำฝูงได้ดี มีความแข็งแรงทนทาน และอดทนมาก จึงเป็นโคสำหรับใช้งานโดยแท้จริง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมอากาศร้อนชื้น โรคพยาธิและแมลงได้ดี มีความสามารถใช้อาหารหยาบที่มีคุณภาพต่ำ แต่มีลักษณะด้อย คือ การเจริญเติบโตต่ำ
โคพื้นเมือง เป็นโคที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยมาเป็นเวลานาน มีขนาดเล็ก ทนร้อน ทนต่อโรคและแมลง หากินเก่ง ให้ลูกดก สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารหยาบได้ดี ซึ่งเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ที่กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนพืชอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ และพื้นที่เลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มลดลง การเลี้ยงโคพื้นเมืองจึงถือเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่เกษตรกรรายย่อยนำมาเป็นอาชีพเสริมให้กับครอบครัวได้ แต่ ปัญหาที่สำคัญ คือ ปัจจุบันโคพื้นเมืองมีปริมาณลดลง เนื่องจากมีการนำโคสายเลือดยุโรปมาผสมพันธุ์ และมีการขยายพื้นที่เลี้ยงอย่างกว้างขวาง ทำให้ได้โคลูกผสมที่ให้ผลผลิตที่สูงขึ้น ได้คุณภาพเนื้อและราคาที่ดีกว่า ดังนั้นโคพื้นเมืองจึงมีปริมาณลดลง
เนื่องจาก นโยบายการเลี้ยงโคที่รัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ได้เน้นการผลิตเพื่อบริโภคและทดแทนการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศทำให้เกษตรกรหันมาเลี้ยง โคพันธุ์ต่างประเทศทั้งพันธุ์แท้และลูกผสมจนทำให้โคพื้นเมืองไม่ได้รับความเอาใจใส่ในด้านการเลี้ยงดู การปรับปรุงพันธุ์และขาดการอนุรักษ์พันธุ์อย่างจริงจัง ทำให้โคพื้นเมืองซึ่งสามารถเจริญเติบโตและขยาย พันธุ์ได้ดีในสภาพแวดล้อมของเกษตรกรถูกละเลยไป ทั้งๆที่โคพื้นเมืองมีคุณลักษณะที่โดดเด่นเหมาะสมกับ สภาพการเลี้ยงดูของเกษตรกรและสภาพท้องถิ่นมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสมมานับ พันๆ ปี ให้ลูกดกในสภาพแวดล้อมของเกษตรกรรายย่อย เลี้ยงง่ายโดยปล่อยให้หากินตามทุ่งหญ้าสาธารณะ ตามป่าละเมาะไล่ต้อนตามป่าเขาสามารถใช้เศษเหลือจากผลผลิตทางการเกษตรเป็นหลัก นอกจากนี้ยังใช้ ต้นทุนในการเลี้ยงดูต่ำกว่าโคพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โคเนื้อ


                                                      hhttps://youtu.be/17wvdMvnhD0
                                                           https://youtu.be/gH4_Hj7T7-g

โคพื้นเมือง

โคพื้นเมืองในประเทศไทย แบ่งออกตามลักษณะรูปร่างภายนอกและวัตถุประสงค์การเลี้ยงได้ 4 สายพันธุ์ คือ 

 1. โคพื้นเมืองโคอีสาน
การกระจายของประชากร เลี้ยงกันมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งตอนล่างและตอนบน เพื่อใช้ลากจูง เทียมเกวียน และเป็นอาหารโปรตีนที่สำคัญโดยเฉพาะในงานพิธีและเทศกาลที่สำคัญ ในปี 2535 กรมปศุสัตว์จัดซื้อโคเพศผู้ 10 ตัว เพศเมีย 100 ตัว นำไปเลี้ยงและขยายพันธุ์ที่ หน่วยบำรุงพันธุ์สัตว์บุณฑริก อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี และในปี 2543 ได้จัดซื้อเพิ่มเติมเป็นโคเพศผู้ 8 ตัว และเพศเมีย 200 ตัว นำไปเลี้ยงที่ หน่วยบำรุงพันธุ์สัตว์บุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี และสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
ลักษณะประจำพันธุ์ มีขนสั้นเกรียน โดยทั่วไปมีลำตัวสีน้ำตาลแกมแดง แต่อาจมีสีแตกต่างกันหลายสี เช่น ดำ แดง น้ำตาล ขาว เหลือ เป็นต้น หน้ายายบอบบาง หน้าผากแคบ ตะโหนกเล็ก เหนียงคอ และหนังใต้ท้องไม่มากนักมีรูปร่างขนาดเล็ก น้ำหนักแรกเกิด 16 กก. น้ำหนักหย่านมเมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 94 กก. น้ำหนักโตเต็มที่ เพศผู้ 300 - 350 กก. เพศเมีย 22 -250 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 2.71 ปี ระยะการอุ้มท้อง 270 - 275 วัน ช่วงห่างการให้ลูก 395 วัน

2. โคขาวลำพูน
ลักษณะประจำพันธุ์
    เขา และกีดเท้า มีสีน้ำตาลส้ม ขอบตา และเนื้อจมูก มีสีชมพูส้ม ขนพู่หาง สีขาวไม่มีเหนียงสะดือ ขนาดเหนียงคอปานกลางไม่พับย่นมากเหมือนกับโคบราห์มัน น้ำหนักแรกเกิด 18 กก. น้ำหนักหย่านมเมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 122 กก. น้ำหนักโตเต็มที่เพศผู้ 350 - 450 กก.เพศเมีย 300 - 350 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 2.5 ปี ระยะการอุ้มท้อง 290 - 295 วัน ช่วงห่างการให้ลูก 460 วัน
การกระจายของประชากร โคขาวลำพูนเป็นโคพันธุ์พื้นเมืองพันธุ์หนึ่ง ประวัติความเป็นมาอย่างไรไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด กลุ่มคนบางคนเล่าว่า เกิดจากการกลายพันธุ์ของโคพื้นเมืองในสมัยพระนางจามเทวี เป็นสัตว์คู่บารมีของชนชั้นปกครองสมัยนั้น จากการออกสำรวจของเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เกี่ยวกับข้อมูลของโคขาวลำพูน โดยออกเยี่ยมเยียนเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตจังหวัดลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลในลักษณะเดียวกันว่า "โคขาวลำพูนได้พบเห็นมาช้านานแล้วอย่างน้อยก็ 70 -80 ปี และจะพบเห็นมากที่สุดในเขตพื้นที่ของจังหวัดลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เท่านั้น" เกษตรกรบางท่านเล่าว่า "ชาวเมืองลำพูนนิยมใช้โคขาวลำพูนลากเกวียน เพราะจะทำให้มีสง่า ราศีดี เนื่องจากเป็นโคที่มีลักษณะใหญ่และมีสีขาวปลอดทั้งตัว ใครที่มีโคขาวลำพูนเทียมเกวียนในสมัยก่อนเปรียบได้กับการมีรถเบนซ์ไว้ขับในสมัยนี้นั่นเอง และเนื่องจากมีต้นกำเนิดที่จังหวัดลำพูน จึงเรียกโคพันธุ์นี้ว่า "โคขาวลำพูน" จากคุณสมบัติที่มีลักษณะเด่นและเป็นลักษณะเฉพาะพันธุ์ โคขาวลำพูนจึงได้รับการคัดเลือกเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญดังเช่น พระโคเพชร และพระโคพลอย ในปี 2537พระโครุ่ง และพระโคโรจน์ในปี 2538 เป็นต้น
ในปี 2539 กรมปศุสัตว์จึดซื้อโคเพศผู้ 20 ตัว เพศเมีย 100 ตัว นำไปเลี้ยงและขยายพันธุ์ที่ สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และในปี 2543 ได้จัดซื้อเพิ่มเติมเป็นโคเพศผู้ 8 ตัว และเพศเมีย 200 ตัว นำไปเลี้ยงที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์แพร่ จังหวัดแพร่

3. โคพื้นเมืองภาคใต้ (โคชน)
 ลักษณะประจำพันธุ์ 
มีสีแดง สีน้ำตาลอ่อน ดำ และด่าง ไม่มีเหนียงสะดือ มีเหนียงคอบาง น้ำหนักแรกเกิด 15 กก. น้ำหนักหย่านมเมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 88 กก. น้ำหนักโตเต็มที่ เพศผู้ 280 - 320 กก.เพศเมีย 230 - 280 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 3 ปี ระยะการอุ้มท้อง 270 - 275 วัน
การกระจายของประชากร นิยมเลี้ยงกันมากทางภาคใต้ ซึ่งจากการที่คนภาคใต้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เมื่อหลังฤดูเก็บเกี่ยวประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน ชาวนาจะปล่อยโคออกหากินตามท้องทุ่งเป็นฝูงใหญ่ โคจากในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านมีโอกาสได้พบกัน ประกอบกับเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์โคตัวผู้จังชนกันแย่งชิงเป็นจ่าฝูง เพื่อจะได้ยึดครอบโคตัวเมีย ชาวบ้านจึงได้เห็นลีลาการชนของโคบางตัว เกิดความรู้สึกพอใจ ประทับใจ และคัดเลือไว้เป็นโคชน ซึ่งโคชนจะต้องเป็นโคตัวผู้ที่มีลักษณะดี มีอายุประมาณ 4 -6 ปี ต้องมีสายพันธุ์เป็นโคชนโดยเฉพาะ ผ่านการเลี้ยงดูฟิตซ้อมให้ร่างกายแข็งแรงและฝึกชนบ่อย ๆ จนกลายเป็นโคชนที่มีคุณสมบัติเด่นเฉพาะ เช่น แข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบในการชน และทรหดอดทนเป็นพิเศษ เป็นต้น โคชนมีมากที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และสงขลา
      ในปี 2538 กรมปศุสัตว์จัดซื้อโคเพศผู้ 10 ตัว เพศเมีย 100 ตัว นำไปเลี้ยงและขยายพันธุ์ที่ สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์นครศรีธรรมราช อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และในปี 2543 ได้จัดซื้อเพิ่มเติมเป็นโคเพศผู้ 24 ตัว และเพศเมีย 600 ตัว นำไปเลี้ยงที่ สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์นครศรีธรรมราช สถานีบำรุงพันธ์สัตว์เทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์กระบี่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ และสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ตรัง อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง

4.โคพืนเมืองภาคกลาง(วัวลาน)
ลักษณะประจำพันธุ์ นิสัยเปรียว ตื่นตกใจง่าย ลำตัวยาวบาง มีสีแดง สีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลแก่ ดำ และด่างไม่มีเหนียงสะดือ มีเหนียงคอบาง น้ำหนักแรกเกิด 14 กก. น้ำหนักหย่านมเมื่ออายุ 200 วันเฉลี่ย 78 กก. น้ำหนักโตเต็มที่ เพศผู้ 280-300 กก. เพศเมีย 200-260 กก. อายุเมื่อให้ลูกตัวแรก 3 ปี ระยะการอุ้มท้อง 270-275 วัน
      ในปี 2543 กรมปศุสัตว์จัดซื้อโคเพศผู้ 4 ตัว เพศเมีย 100 ตัว นำไปเลี้ยงและขยายพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์หนองกวาง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
การกระจายของประชากร นิยมเลี้ยงกันมากในภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม และสุพรรณบุรี จากการที่เกษตรกรในจังหวัดดังกล่าวส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เมื่อเพราะปลูกเสร็จแล้ว พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวเกษตรกรจะนำข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วมาวางเรียงวนในลักษณะวงกลม มีเสาไม้เป็นจุดศูนย์กลางสำหรับผูกโคราว(คาน) โดยใช้วิธีขอแรงงานจากโคของเพื่อนบ้านมาช่วย ซึ่งจะผูกโคเรียงเป็นแถวรายตัวให้พอเพียงกับข้าวที่ตั้งกองรายล้อมไว้ จากนั้นไล่โควิ่งวนเวียนรอบ ๆ เสาไม้ที่ปักไว้จนกว่าเมล็ดข้าวจะร่วงหล่นจากรวง เกษตรกรจะช่วยกันเก็บฟางข้าวออกจนหมดให้เหลือเฉพาะเมล็ดข้าวเปลือก หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บข้าวแล้ว เกษตรกรจะมีเวลาว่างในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม จึงได้มีผู้คิดนำวิธีการนี้มาใช้และเพิ่มจำนวนโคที่วิ่งให้มากขึ้น นิยมจัดการแข่งขันในบริเวณวัด ต่อมาเริ่มจัดการแข่งขันนอกวัด จากเริ่มแรกเพื่อความสนุกสนานและต่อมาได้มีการพัฒนาวิธีการแข่งขันเรื่อย ๆ จนถึง ปี พ.ศ. 2500 จึงได้ริเริ่มเดิมพันการแข่งขันวิ่งวัวลานกันขึ้น

โคพื้นเมือง

                                                                   โคพื้นเมือง 
ของไทยมีลักษณะใกลเคยงี กับโคพื้ นเมือง ของประเทศเพื่ อนบานในแถบเอเชีย ลักษณะรูปรางกระทัดรัด ลําตัวเล็ก ขาเรียว เล็ก ยาว เพศผูมีหนอกขนาดเล็ก มีเหนยงคอ ี แตไมหยอนยานมาก หูเล็ก หนังใตทองเรียบ มีสีไมแนนอน เชน สีแดงออน เหลืองออน ดํา ขาวนวล น้ําตาลออน และอาจมีสีประ รวมอยูดวย เพศผูโตเต็มท ี่ หนักประมาณ 300-350 ก.ก. เพศเมีย 200-250 ก.ก.

พันธ์ุโคเนื้อ

                                                                        พันธุโคเนื้อ 
ลูกโคเปนผลผลิตหลักของการเลี้ยงแมโคเนื้อการเล ี้ยงโคเนื้อจะใหได กําไรจะตองสามารถผลิต ลูกโคใหไดจํานวนมาก เชน แมโคสามารถใหลูกไดปละตัว เม ื่ อหยานมลูกโคมีขนาดใหญและม  ี คุณภาพดีเปนที่ตองการของตลาด จึงจะขายไดราคาดีการท ี่ จะสามารถทํากําไรไดดีดังกลาวจะตองเริ่ม ตั้งแตเลือกพันธุที่เล ี้ยงใหเหมาะสมกับระบบหรือวิธีการจัดการเล ี้ ยงดูใหอาหารใหเหมาะสมกับความ ตองการของโคระยะตางๆและมีการจัดการเล ี้ ยงดูที่เหมาะสม การเลี้ยงแมโคเนื้ อทจะให ี่ ผูเล ี้ยงไดกําไรตอบแทนมากจะตองเร ิ่ มต ั้ งแตการเลือกพันธุโคที่ จะ เล ี้ยงใหเหมาะสมก  ับระบบการเล ี้ ยงและวัตถุประสงคที่จะเล ี้ ยง เชน ลูกโคที่ ผลิตไดจะสนองความ ตองการของตลาดประเภทใด สําหรับผูที่เพ ิ่ งจะเร ิ่ มเลยง ี้ โค ปญหาสําคัญคือจะเล ี้ยงโคพันธุอะไรดังนั้น จะตองทราบวาโคพ  ันธุตางๆ มีคุณสมบัติอยางไรเหมาะสมกับวิธีการเล ี้ ยงท ี่ เราจะเลยงหร ี้ ือไม

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


                                                     https://youtu.be/CM5moYffPow

                                                    https://youtu.be/K6BX_hR_Nm0

โคเนื้อ

               โคเนื้อกับยานพาหนะ ความเหมือนที่ไม่แตกต่าง

          อาจารย์ของผู้เขียนได้เคยให้แนวคิดง่ายๆ โดยการนำโคไปเปรียบเทียบกับยานพาหนะที่เราใช้เดินทางสัญจรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท่านได้กล่าวไว้ว่า“ยี่ห้อของรถก็คือระดับพันธุกรรมและความเหมาะสมในการนำไปใช้งาน ราคาของรถหมายถึงคุณภาพของโคพันธุ์นั้นๆ ความเร็วของรถก็เปรียบเสมือนอัตราการเจริญเติบโต” ซึ่งจะช่วยให้ชาวบ้านเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นและเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า ควรจะเลือกซื้อโคพันธุ์ใด เพศอะไร อายุเท่าไร ให้ตรงกับจุดประสงค์ตามความพร้อมของผู้เลี้ยงและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนี้ครับ
1.โคพื้นเมือง = เกวียน
          - ขึ้นชื่อว่าเป็นโคพื้นเมืองแล้ว ความทรหดอดทนไม่เป็นสองรองใครแน่นอน หากินเก่งเลี้ยงได้ทุกสภาพแวดล้อม แม้ว่าแหล่งอาหารจะไม่เพียงพอก็ยังสามารถให้ลูกได้ทุกปี ราคาไม่แพง ถึงจะไม่ค่อยได้รับการดูแลเอาใจใส่ก็สามารถอยู่ได้สบายๆ เอาตัวรอดเก่ง แต่รูปร่างอาจจะไม่ใหญ่โต และอัตราการเจริญเติบโตไม่ดีนัก ดั่งเกวียนที่ลุยได้ทุกเส้นทางแม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยากลำบากสักเพียงใด ไม่กินน้ำมัน การบำรุงรักษาก็ง่าย แต่จะใช้ระยะเวลาในการเดินทางนาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินทุนไม่มากนัก มีพื้นที่หรือแหล่งอาหารค่อนข้างจำกัด สามารถเพิ่มมูลค่าในรุ่นลูกหรือยกระดับฝูงได้โดยการผสมกับพ่อพันธุ์บราห์มัน, พ่อพันธุ์ฮินดูบราซิล พ่อพันธุ์โคเมืองหนาว หรือพ่อพันธุ์เลือดผสม ที่ให้ลูกมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำ
2.โคลูกผสมบราห์มัน หรือ โคลูกผสมฮินดูบราซิล = รถอีแต๋น
          - เกิดจากแม่โคพื้นเมือง + พ่อพันธุ์บราห์มันหรือพ่อพันธุ์ฮินดูบราซิล เพื่อให้ได้รุ่นลูกที่ดีกว่าแม่(อภิชาตบุตร) มีรูปร่างและโครงสร้างที่ดีกว่าเดิม มีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น หนังหนา ทนแดดทนฝน ทนโรคและแมลง เลี้ยงได้ทั้งขังคอกและปล่อยแปลง มีความต้องการอาหารมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อใช้พัฒนาโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่โตขึ้นให้สมบูรณ์ ราคาปานกลาง ซื้อง่ายขายคล่อง หาซื้อได้ตามตลาดนัดทั่วไป ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่บ้าง เช่น ทำวัคซีน ถ่ายพยาธิ ฉีดยาบำรุง เป็นต้น อัตราการเจริญเติบโตพอใช้ได้ เนื้อชำแหละส่งตลาดระดับกลางและระดับล่าง ดั่งรถอีแต๋นที่วิ่งได้ทั้งกลางทุ่งนา ถนนลูกรัง และบนถนนลาดยาง แต่ก็วิ่งได้ไม่เร็วนักตามกำลังแรงม้าที่มีอยู่ บรรทุกสิ่งของหนักๆได้ดี เดินทางโดยใช้น้ำมันโซล่า(ดีเซล) ต้องหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ้าง เหมาะสำหรับผู้ที่พอมีทุนอยู่พอสมควร และต้องการเพิ่มมูลค่าผลผลิตในการขุนหรือปรับปรุงคุณภาพโคให้ดียิ่งขึ้น โดยอาจนำไปผสมกับพ่อพันธุ์บราห์มันหรือพ่อพันธุ์ฮินดูบราซิลเพื่อยกระดับสายเลือดให้สูงขึ้น หรือผสมกับพ่อพันธุ์โคเมืองหนาว หรือพ่อพันธุ์เลือดผสมเพื่อผลิตโคขุนคุณภาพดีต่อไป
3.โคลูกผสมยุโรป(กำแพงแสน, ตาก, กบินทร์บุรี) = รถปิกอัพ
          - เกิดจากแม่โคลูกผสมบราห์มันหรือโคลูกผสมฮินดูบราซิล + พ่อพันธุ์โคเมืองหนาวพันธุ์แท้หรือที่มีเลือดสูงก็ได้ ลูกที่ได้จะมีจุดเด่นอยู่ที่รูปร่างโครงสร้างที่สมส่วน ลักษณะมัดกล้ามเนื้อ และคุณภาพซากที่ดียิ่งขึ้น ตอบสนองต่ออาหารข้นและอาหารหยาบภายใต้การดูแลจัดการที่เหมาะสมได้ดี แต่ก็ต้องได้รับอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันทั้งด้านคุณภาพและปริมาณเช่นกัน จึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ราคาซื้อ-ขายอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ปัจจุบันเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อมีคุณภาพดีแต่ก็ยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ดั่งรถปิกอัพที่วิ่งในเมืองก็ได้ วิ่งในต่างจังหวัดก็ดี หรือจะวิ่งบนถนนลูกรังก็สบาย ถ้าใช้บรรทุกสิ่งของก็เสริมแหนบให้แข็งแรง ใช้งานได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการนำไปใช้งานและสามารถติดแก๊สเพื่อลดต้นทุนได้
4.โคพันธุ์แท้(อเมริกันบราห์มัน, ฮินดูบราซิล) = รถเบ๊นซ์
          - ขึ้นชื่อว่าโคพันธุ์แท้อะไรๆ ก็ดูดีไปเสียหมดทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา และโครงสร้างที่สมส่วนสวยงาม หรือถ้าจะมองทางด้านพันธุกรรมก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเจริญเติบโต น้ำหนักซาก และประสิทธิภาพการใช้อาหารตามมาตรฐานของแต่ละสายพันธุ์ เพราะว่าได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี อีกทั้งยังมีการจัดงานประกวดตลอดทั้งปี จึงทำให้แต่ละฟาร์มได้มองเห็นจุดเด่นจุดด้อยของตนเองและได้นำคำแนะนำของกรรมการมาปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา จนได้พันธุกรรมระดับคุณภาพที่มาพร้อมกับราคาซื้อ-ขายที่สูงขึ้นตามไปด้วย ต้องพิถีพิถันหมั่นดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ การจัดการต้องดีเป็นพิเศษ ดั่งรถเบ๊นซ์ที่โดดเด่นดูดีทั้งภายนอกและภายใน ใครเห็นใครก็ชอบ วิ่งได้เร็วมากบนถนนลาดยาง หรือถ้าให้วิ่งบนถนนลูกรังก็อาจจะช้าลงหน่อยแต่ก็ยังวิ่งได้ดีอยู่ เครื่องยนต์เบนซิน กินน้ำมันพอสมควร ควรได้รับการตรวจสอบสภาพอย่างสม่ำเสมอ อะไหล่มีราคาแพง เหมาะสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์สูง ต้องการร่นระยะเวลาในการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้เร็วขึ้น และมีเป้าหมายชัดเจนที่จะสร้างโคพันธุ์แท้ออกจำหน่าย
          คงพอจะเห็นภาพรวมกันบ้างแล้วนะครับว่าตัวเราเหมาะที่จะนั่งรถประเภทไหน อย่าลืมว่ารถก็เหมือนบ้านที่มีทั้งเก่าและใหม่ มือหนึ่งและมือสอง ทางที่ดีต้องลองตรวจสภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อนถึงจะมั่นใจนำไปใช้งานได้ การตรวจภายนอกคงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะว่าสามารถมองเห็นได้อยู่แล้ว แต่การตรวจภายในนี่สิเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นนอกเสียจากข้อมูลที่ได้รับมาผ่านทางเอกสารหรือคำบอกเล่า ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ประวัติ ประวัติการคลอด(ในกรณีที่โคไม่มีเขา) ปัญหาระบบสืบพันธุ์ การทำวัคซีน หรือโรคแท้งติดต่อ เป็นต้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่คุณธรรมและจริยธรรมของผู้ขายแต่ละราย

โคพันธุ์

โคพันธุ์บราห์มัน(Brahman)
มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย แต่ถูกปรับปรุงพันธุ์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โคพันธุ์นี้ที่เลี้ยงในบ้านเราส่วนใหญ่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย แล้วนำมาคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์โดยกรมปศุสัตว์และ ฟาร์มของเกษตรกรรายใหญ่ในประเทศ เป็นโคที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ลำตัวกว้าง ยาว และลึก ได้สัดส่วน หลังตรง หนอกใหญ่ หูใหญ่ยาว จมูก ริมฝีปาก ขนตา กีบเท้าและหนังเป็นสีดำ เหนียงที่คอและหนังใต้ท้องหย่อนยาน โคนหางใหญ่ พู่หางสีดำ สีจะมี สีขาว เทา และ แดง ที่นิยมเลี้ยงกันมากคือสีขาวเพศผู้โตเต็มที่น้ำหนักประมาณ 800 – 1,200 กก. เพศเมีย ประมาณ 500 – 700 กก.
ข้อดี
1. ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทยได้ดี
2. ทนทานต่อโรคและแมลง โตเร็ว
3. เหมาะสำหรับเป็นโคพื้นฐานเพื่อผลิตโคเนื้อคุณภาพดีและโคนม เช่น ผสมกับพันธุ์ชาร์โรเล่ส์เพื่อผลิตโคขุน ผสมกับพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน(ขาวดำ)เพื่อผลิตโคนม และผสมกับพันธุ์ซิมเมนทัลเพื่อผลิตโคกึ่งเนื้อกึ่งนม
4. สามารถใช้งานได้
ข้อเสีย
1. เป็นโคพันธุ์ที่มีอัตราการผสมติดค่อนข้างต่ำ ให้ลูกตัวแรกช้า และให้ลูกค่อนข้างห่าง
2. ส่วนใหญ่เลือกกินเฉพาะหญ้าที่มีคุณภาพดี เมื่อหญ้าขาดแคลนจะทรุดง่าย ซึ่งจะเห็นได้จากเมื่อปล่อยเข้าแปลงหญ้าจะเดินตระเวนไปทั่วแปลงหญ้าก่อนแล้วจึงค่อยเลือกกินหญ้า

การเลี้ยงโคเนื้อ

การเลี้ยงโคเนื้อเชิงธุรกิจ

ลูกโคเป็นผลผลิตหลักของการเลี้ยงโคเนื้อ การเลี้ยงโคเนื้อจะให้ได้กำไรจะต้องสามารถผลิตลูกโคให้ได้จำนวนมาก เช่น แม่โคควรสามารถให้ลูกได้ปีละตัว เมื่อหย่านมลูกโคมีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการ
ของตลาด จึงจะขายได้ราคาดี การที่จะทำกำไรได้ดีดังกล่าวจะต้องเริ่มตั้งแต่เลือกพันธ์ที่เลี้ยงให้เหมาะสมกับระบบหรือวิธีการจัดการเลี้ยงดู ให้อาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของโคระยะต่างๆ และมีการจัดการเลี้ยง
ดูที่เหมาะสม การเลี้ยงโคเนื้อที่จะให้ผู้เลี้ยงได้กำไรตอบแทนมากจะต้องเริ่มตั้งแต่ การเลือกพันธุ์โคที่จะเลี้ยงให้ เหมาะสมกับระบบการเลี้ยงและวัตถุประสงค์ที่จะเลี้ยง เช่น ลูกโคที่ผลิตได้จะสนองความต้องการของตลาด
ประเภทใด สำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงโคปัญหาสำคัญคือจะเลี้ยงโคพันธุ์อะไร ดังนั้นจะต้องทราบว่าโคพันธุ์ต่างๆที่จะหาได้มีคุณสมบัติอย่างไร เหมาะสมกับวิธีการที่เราจะเลี้ยงหรือไม่ ควรซื้อโคที่มีลักษณะอย่างไร
เมื่อจัดหาแม่โคได้แล้ว จะต้องมีการจัดการด้านการผสมพันธุ์ที่ถูกต้อง ให้อาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของแม่โคระยะต่างๆ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นระยะจากแม่โคคลอดลูกถึง 3-4 เดือนหลังคลอด ระยะที่ 2
เป็นแม่โคท้อง 4-6 เดือน และ ระยะที่ 3 เป็นแม่โคท้อง 3 เดือนก่อนคลอด ลูกโคคลอดแล้วจะต้องจัดการอย่างไร ลูกโคเพศเมียที่หย่านมแล้วซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเก็บไว้เป็นแม่พันธุ์ทดแทนนั้นจะต้องเลี้ยงดูให้โตเร็วไม่แคระแกรนจึงจะใช้ผสมพันธุ์ได้เร็วที่สุดและเป็นแม่พันธุ์ที่ดี การจัดการเลี้ยงดูแม่โคสาวที่ใช้ผสมพันธุ์ครั้งแรกจะแตกต่างกับการเลี้ยงดูแม่โคที่เคยให้ลูกแล้ว เพราะแม่โคสาวยังไม่เติบโตเต็มที่จะต้องทำน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก และเป็นการตั้งท้องและเลี้ยงลูกตัวแรก ผู้เลี้ยงจึงต้องดูแลเอาใจใส่มากกว่าแม่โคที่เคยให้ลูกแล้ว

การเลี้ยงโคพ่อพันธุ์และการจัดการผสมพันธุ์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แม่โคผสมติดเพื่อให้ลูกโคได้ดีการผสมเทียมเป็นวิธีการผสมโดยฟาร์มไม่ต้องเลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้เอง และเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงพันธุ์
ให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว การให้อาหารที่เหมาะสม จะต้องทราบความต้องการอาหารของโคในระยะต่างๆว่าต้องการโภชนะหรือ คุณค่าของอาหารในแต่ละวันเท่าใด และอาหารที่จะใช้เลี้ยงมีคุณค่าทางอาหารหรือโภชนะเท่าใดจึงจะสามารถคำนวณได้ว่าจะต้องให้อาหารจำนวนเท่าใดจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของโค ความต้องการอาหารส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับขนาดหรือน้ำหนักตัวของโค ผู้เลี้ยงโคที่ไม่มีตาชั่งประจำฟาร์มสามารถหาน้ำหนักโดยประมาณจากความยาวรอบอกโค เมื่อให้อาหารไประยะหนึ่งแล้วควรทำการตรวจสอบโดยดูความสมบูรณ์ของโคจาก คะแนนสภาพร่างกาย นอกจากการจัดการเลี้ยงดูและการให้อาหารที่ถูกต้องแล้ว การดูแลด้านสุขภาพโคก็เป็น

สิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องด้วยฟาร์มที่ดำเนินการเป็นธุรกิจอาจต้องทำการขุนโคและคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์โคให้เหมาะสมกับสภาพ การผลิตและการตลาด ตลอดจนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการจัดการฟาร์มให้ได้ผลกำไรมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในตอนท้ายของหนังสือนี้จึงได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการดังกล่าวให้เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาเลือกใช้หรือให้คำแนะนำแก่เกษตรกรต่อไป

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การพัฒนาวัว


                                                            https://youtu.be/TbotneyaZvw

โคขุน


                                                    https://youtu.be/RGjoI-b8BGA

การให้อาหาร

                                                    https://youtu.be/QbbDWuneZGM

ข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีในการเลี้ยงวัว

1.เลี้ยงง่าย หากินเก่ง ไม่เลือกอาหารเพราะผ่านการคัดเลือกแบบธรรมชาติในการเลี้ยง แบบไล่ต้อนโดยเกษตรกร และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเลี้ยงโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
2.ให้ลูกดก ส่วนใหญ่ให้ปีละตัว เพราะเกษตรกรคัดแม่วัวที่ไม่ให้ลูกออกอยู่เสมอ
3.ทนทานต่อโรคและแมลงและสภาพอากาศในบ้านเราได้ดี
4.ใช้แรงงานได้ดี
5.แม่วัวพื้นเมืองเหมาะที่จะนำมาผสมพันธุ์กับพ่อพันธุ์หรือผสมเทียมกับพันธุ์อื่น เช่น บราห์มัน วัวพันธุ์ตาก วัวกำแพงแสน หรือ วัวกบินทร์บุรี
6.มีเนื้อแน่น เหมาะกับการประกอบอาหารแบบไทย
7.สามารถใช้งานได้

ข้อเสียในการเลี้ยงวัว

1.เป็นวัวขนาดเล็ก เพราะถูกคัดเลือกมาในสภาพการเลี้ยงที่มีอาหารจำกัด
2.ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงขุน เพราะมีขนาดเล็กไม่สามารถทำน้ำหนักซากได้ตามที่ตลาดวัวขุนต้องการ คือ ที่น้ำหนักมีชีวิต 450 ก.ก. และเนื้อไม่มีไขมันแทรก
3.เนื่องจากแม่วัวมีขนาดเล็กจึงไม่เหมาะสมที่จะผสมกับวัวพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ชาร์โลเล่ย์ และซิมเมนทัล เพราะอาจมีปัญหาการตลอดยาก 

สำหรับการคัดเลือกวัวที่จะนำมาเลี้ยงนั้นก็ต้องมีข้อมูลที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกเดี๋ยวเราจะนำมาฝากันในคราวหน้าน่ะครับ 

3.อาหาร สิ่งที่ต้องเตรียมตามมาก็คืออาหารที่เราจะใช้เลี้ยงวัวของเรา สำหรับอาหารที่ใช้ในการเลี้ยงวัวนั้น มีด้วยกันตามนี้ครับได้แก่
อาหารหยาบ ซึ่งได้มากจาก หญ้าสด ฟางข้าว พืชตระกูลถัว ต้นข้าวโพด เป็นต้น
อาหารข้น ซึ่งได้มาจาก อาหารที่มีความเข้มข้นและมีโปรตีนสูง มีใยต่ำ สัตว์กินเข้าไปแลเวย่อยได้ง่าย เช่น รำ ปลายข้าว ข้าวโพดบด อาหารข้นสำเร็จรูปตามท้องตลาด หัวอาหารเป็นต้น 

4. น้ำ การเลี้ยงวัวจะต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอให้วัวบริโภค สำหรับใครที่เลี้ยงเป็นจำนวนมากน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรสำหรับน้ำให้วัวกิน 

ก็คงจะตามนี้สำหรับการเลี้ยงวัวเบื้องต้น ในการเตรียมตัวขั้นแรกน่ะครับ แต่ว่าการเลี้ยงวัวนั้นจะต้องมีข้อมูลอื่นๆมาปรกอบอีกมากมาย ในแต่ละขั้นตอน รวมทั้งต้องหมั่นเอาใจใส่ในการเลี้ยงวัวของตนเองด้วย การทำการเกษตรด้วยการเลี้ยงวัวนั้นนับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างเช่นวัวพันธุ์เน้อนั้น แม่วัว 1 ปี ตกลูก 1 ครั้ง ถ้าเรามีแม่วัว 10 แม่ เราก็ได้วัวเพิ่มมาปีละ 10 ตัว แล้ว และความต้องการในการบริโภคนั้นก็มากขึ้นทุกวันตามจำนวนของประชากรโลกที่มากขึ้น ดังนั้นกาเลี้ยงวัวไม่ว่าจะเป็นวัวเนื้อ วัวนม นั้นย่อมน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบันครับ

การเลือกพันธุ์วัว

การเลือกพันธุ์วัว

2. พันธุ์วัว สิ่งต่อมาที่ท่านต้องเตรียมก็คือพันธุ์วัว เพราะเราต้องรู้ก่อนว่าจะเลี้ยงวัวพันธุ์อะไร เลี้ยงเพื่อไปขายที่ไหน วัวมีด้วยกันหลายสายพันธุ์แบ่งเป็นง่ายๆก็ วันพันธุ์เนื้อและวัวนม ในที่นี้ขอยกตัวอย่างวัวพันธุ์เนื้อพื้นเมืองของไทยเราน่ะครับ 

วัวพื้นเมือง
วัวพื้นเมืองของไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับวัวพื้นเมืองของประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย ลักษณะรูปร่างกระทัดรัด ลำตัวเล็ก ขาเรียวเล็ก ยาว เพศผู้มีหนอกขนาดเล็ก มีเหนียงคอ แต่ไม่หย่อนยานมาก หูเล็ก หนังใต้ท้องเรียบ มีสีไม่แน่นอน เช่น สีแดงอ่อน เหลืองอ่อน ดำ ขาวนวล น้ำตาลอ่อนและอาจ มีสีประรวมอยู่ด้วยเพศผู้โตเต็มที่หนักประมาณ 300-350 ก.ก. เพศเมีย 200-250 ก.ก.
ลูกวัวเป็นผลผลิตหลักของการเลี้ยงแม่วัวเนื้อ การเลี้ยงวัวเนื้อจะให้ได้กำไรจะต้องสามารถผลิตลูกวัวให้ได้จำนวนมาก เช่น แม่วัวสามารถให้ลูกได้ปีละตัว เมื่อหย่านมลูกวัวมีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาดจึงจะขายได้ราคาดี การที่จะสามารถทำกำไรได้ดีดังกล่าวจะต้องเริ่มตั้งแต่เลือกพันธุ์ที่เลี้ยงให้เหมาะสมกับระบบหรือวิธีการจัดการเลี้ยงดู ให้อาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของวัวระยะต่างๆ และมีการจัดการเลี้ยงดูที่เหมาะสม
การเลี้ยงแม่วัวเนื้อที่จะให้ผู้เลี้ยงได้กำไรตอบแทนมากจะต้องเริ่มตั้งแต่การเลีอกพันธุ์วัวที่จะเลี้ยงให้เหมาะสมกับระบบการเลี้ยงและวัตถุประสงค์ที่จะเลี้ยง เช่น ลูกวัวที่ผลิตได้จะสนองความต้องการของตลาดประเภทใด สำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงวัว ปัญหาสำคัญคือจะเลี้ยงวัวพันธุ์อะไร ดังนั้น จะต้องทราบว่าวัวพันธุ์ต่างๆ มีคุณสมบัติอย่างไร เหมาะสมกับวิธีการเลี้ยงที่เราจะเลี้ยงหรือไม่ ควรซื้อวัวที่มีลักษณะอย่างไร

สัตว์วิทยา

สัตว์วิทยา (อังกฤษZoology, มาจากภาษากรีกโบราณ ζῷον (zoon) หมายถึง "สัตว์" และ λόγος หมายถึง "วิทยาการ หรือ ความรู้") จัดเป็นศาสตร์ด้านชีววิทยาสาขาหนึ่ง เกี่ยวข้องกับสมาชิกในอาณาจักรสัตว์ และชีวิตสัตว์โดยทั่วไป โดยเป็นการศึกษาเรื่องสัตว์ ตั้งแต่พวกสัตว์ชั้นต่ำพวก ฟองน้ำ แมงกะพรุน พยาธิตัวแบน พยาธิตัวกลม กลุ่มหนอนปล้อง สัตว์ที่มีข้อปล้อง กลุ่มสัตว์พวกหอย ปลาดาว จนถึง สัตว์มีกระดูกสันหลัง และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สัตววิทยาศึกษาโดยรวมเกี่ยวกับร่างกายของสัตว์ ไม่ได้เน้นส่วนใดส่วนหนึ่ง และกระบวนการสำคัญในการดำรงชีพ แต่ศึกษาความสัมพันธ์ของสัตว์หรือกลุ่มสัตว์กับสภาพแวดล้อม เนื่องจากเป็นขอบเขตการศึกษาที่กว้าง จึงมักจะแบ่งย่อยเป็นสาขาอื่นๆ อีก เช่น วิทยาเซลล์วิทยาตัวอ่อนสัณฐานวิทยาโบราณชีววิทยาพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการ, อนุกรมวิธานพฤติกรรมวิทยานิเวศวิทยา และสัตวภูมิศาสตร์ เป็นต้น
สัตววิทยานั้นมีการศึกษามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และจักรวรรดิโรมัน จากงานของฮิปโปเครเตสอะริสโตเติล, และพลินี นักธรรมชาตินิยมสมัยต่อมาเจริญรอยตามอริสโตเติล จนในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เมื่อมีการพิมพ์แพร่หลาย ความรู้เหล่านี้ก็กว้างขวางขึ้น มีการศึกษาและเผยแพร่มากขึ้น เช่น วิลเลียม ฮาร์วีย์ (การไหลเวียนของเลือด), คาโรลุส ลินเลียส (ระบบการตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์), ฌอร์ฌ-หลุยส์ เลอแกลร์ก กงต์เดอบูว์ฟง (ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) และฌอร์ฌ กูว์วีเย (กายวิภาคเปรียบเทียบ) ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นลึกของสัตววิทยา[1][2][3]
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของการศึกษาสัตววิทยา ก็เมื่อชาลส์ ดาร์วิน ได้ตีพิมพ์หนังสือ กำเนิดพงศ์พันธุ์ (On the Origin of Species by Means of Natural Selection) ซึ่งได้อธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นับแต่นั้นการศึกษาด้านพันธุศาสตร์เริ่มมีความจำเป็นในการศึกษาทางชีววิทยา และการศึกษาในแนวลึกเฉพาะด้านเริ่มมีมากขึ้น และยังมีการศึกษาคาบเกี่ยวกันในแต่ละสาขาวิชาด้วย[4]
สำหรับสถาบันที่เปิดสอนศาสตร์ด้านสัตววิทยานั้น ในประเทศไทย ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ต้องผ่านการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ที่มีหลักสูตร สาขาวิชาสัตววิทยา และสาขาวิชาชีววิทยา เช่น คณะวิทยาศาสตร์ คณะเกษตร คณะประมง เช่น คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้วุฒิปริญญาตรี เป็นต้น และเมื่อศึกษาจบแล้ว สามารถเข้าทำงานในหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนได้ต่าง ๆ หลากหลาย [5]

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


                                                     https://youtu.be/QbbDWuneZGM

ความสำคัญ

                                                                ความสำคัญ
ชุมชนบ้านนาเปอะตาบลชาติตระการ อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เป็นชุมชนหน่ึงท่ีมีวิถีชีวิตด้วยการพ่ึงพิงทุนทางธรรมชาติป่าเขาและภูมิปัญญาของชาวบ้าน ในการเลี้ยงชีพ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าชาวบ้านนาเปอะส่วนใหญ่มีการกู้ยืมเงินกองทุน หมู่บ้าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือแหล่งเงินทุนอื่น ๆ เพื่อน าไป ซ้ือวัวท่ีมีขนาดเล็กราคาไม่แพงและน าไปเล้ียงโดยต้อนข้ึนไปปล่อยไว้บนเขาท่ีอยู่ติดกับ หมู่บ้าน ได้แก่ เขากระไดม้า เขาสามแหลม และเขาทอง ซึ่งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ า ภเูม่ียง – ภูทอง ในช่วงเริ่มต้นของฤดูฝนบนเขาจะมีวัวจา นวนนับพันนับหม่ืนตัวท่ชีาวบ้าน ในหมู่บ้านนาเปอะและหมู่บ้านอ่ืน ๆ ท่ีอยู่ติดกับเขาน าไปปล่อยให้หาอาหารกินกันเอง ซึ่งนับว่าเป็นการพึ่งพาธรรมชาติระหว่างป่ าเขา ชาวบ้าน และวัวได้อาศัยซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการเลี้ ยงดูแต่อย่างใด ถือได้ว่าเป็ นการใช้ทุน ทางธรรมชาติท่มีีอยู่ในรูปแบบของระบบนิเวศอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันส่ิงท่กีา ลังเป็นปัญหาของเจ้าของวัวบางรายกค็ือ ข้อจา กัดในเร่ืองของ สุขภาพและขาดผู้สืบทอดในด้านภมู ิปัญญา เน่ืองจากผู้เล้ียงวัวส่วนหน่ึงท่เีล้ียงวัวมานานและ วัยกเ็ปล่ียนไปตามกาลเวลา ทา ให้ไม่สามารถเดินทางข้ึนไปดูแลวัวของตนเองได้ ประกอบ กับความนิยมส่งบุตรหลานเข้าไปศึกษาในชุมชนเมือง เมื่อเรียนจบก็มักจะหางานท าในเมือง ซึ่งเข้าใจว่าได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าการประกอบอาชีพในท้องถ่ินท่ตีนเองอาศัยอยู่ ดังนั้น ชาวบ้านนาเปอะและคณะผู้วิจัยจึงมีความเห็นร่วมกันว่าภูมิปัญญาดังกล่าว สมควรท่ีจะมีการรักษาและสืบทอดสู่คนรุ่นหลังมิให้สูญหายตามอายุไขของคนรุ่นปัจจุบัน โดยอาศัยงานวิจัยท้องถ่ินเป็นส่ือกลางท่จีะสะท้อนบทเรียนดังกล่าวให้กับชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึง คุณค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเอง อีกทั้งเป็ นการหาแนวทางในการจัดการการเลี้ยงวัว ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านท่ีจะน าไปสู่การสร้างเศรษฐกิจชุมชนแบบพึ่งพาทุนท่ีมีอยู่ในชุมชน อย่างเป็นระบบและท าให้เกิดความยั่งยืนในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป

ความสนใจของโคนม

                                      ความสนใจของโคนม ตอนที่ 2
การที่จะแก้ปัญหาที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคประสบอยู่นั้น จึงควรที่จะให้เกษตรกรใช้ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาควบคู่กับการความรู้ใหม่ในเชิงวิทยาการและเทคโนโลยีมาจัดการให้เป็นระบบ มีการจัดการความรู้ที่ทำให้เกิดการจัดการแบบวิถีไทยเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน เป็นความรู้ที่กลมกลืนกับชีวิตความเป็นอยู่ และนำไปใช้ได้จริงในสภาพแวดล้อมในชุมชนของตนเอง
  
ปัจจุบันการเลี้ยงโคกำลังเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีคนหันมาเลี้ยงโคกันมากขึ้นทั้งเกษตรกรและคนนอกวงการ ทั้งเลี้ยงเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม ทั้งนี้ เนื่องจากการเลี้ยงโคเป็นอาชีพที่สร้างรายได้สูงเพราะเนื้อโคราคาแพงและค่อนข้างแน่นอน การบริโภคเนื้อโคในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศและตลาดโลก แสดงถึงความต้องการบริโภคเนื้อโคยังมีอยู่มากและจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การผลิตเนื้อโคไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ และไม่สามารถที่จะพัฒนาเพื่อการส่งออกได้ เพราะระบบการผลิตและการตลาดโคเนื้อยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้จากการนำเข้าเนื้อโคที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะมีการส่งเสริมให้มีการเลี้ยงโคเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและทดแทนการนำเข้า 
รัฐบาลเกือบทุกยุคทุกสมัยมีนโยบายและโครงการส่งเสริมให้มีการเลี้ยงวัวเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตกร แต่โครงการเหล่านี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จและไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนให้แก่เกษตรกรได้  ทั้งโครงการวัวอีสานเขียวที่กลายเป็นวัวพลาสติกในสมัยพลเอกเชาวลิต  ยงใจยุทธ จนมาถึงนโยบายวัวล้านตัวของรัฐบาลทักษิณที่ล้มไปแบบไม่เป็นท่าทั้งคนที่อยากเลี้ยงและรัฐบาล
อาการล้มไม่เป็นท่าของคนเลี้ยงวัวนี้มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง
สาเหตุแรก มาจากนโยบายฝันกลางวันหรือนั่งทางในของรัฐ ที่ชอบคิดและตัดสินใจแทนชาวบ้าน แต่ไม่ได้ดู ไม่ได้เห็นและเข้าใจถึงเนื้อแท้ของวิถีชีวิตของแต่ละคนแต่ละพื้นที่ แล้วไปใช้นโยบายผิดทิศผิดทางครอบความคิดชอบบ้านให้ทำตามแบบพิมพ์ความคิดอันเดียวกัน สุดท้ายไปไม่รอด 
สาเหตุที่สองมาจากเกษตกรมีความรู้ไม่พอใช้  เพราะความรู้บางอย่างที่เกษตรกรมีนั้นตกยุค ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และเทคโนโลยี เกิดอาการตามไม่ทันความรู้ โดยเฉพาะความรู้ด้านการเลี้ยงวัวในด้าน
 -    การปรับปรุงสายพันธุ์  การวิจัยและการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์จะเป็นของหน่วยงานราชการส่วนใหญ่ที่ยังไม่กระจายไปถึงชาวบ้านอย่างทั่วถึง  ทำให้เกิดการขาดแคลนพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่มีคุณภาพ เป็นผลให้ได้เนื้อโคที่มีไม่ได้คุณภาพ
-    การจัดการเลี้ยงดูหรือการจัดการฟาร์มไม่ได้มาตรฐานและการรับเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากยังเลี้ยงแบบพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก
-   วัวที่เลี้ยงขาดความสมบูรณ์ ทำให้อัตราการการผสมติดต่ำ อัตราการให้ลูกโคต่ำ และอัตราการตายสูง  ทำให้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนและมั่นคงแก่เกษตกรได้
-    ภาวะการตลาดโคที่ไม่แน่นอนและถูกเอาเปรียบจากนายทุน เนื่องจากมีการวางแผนปั่นราคาวัว ตามความนิยม  ทำให้เกษตรต้องลงทุนซื้อวัวในราคาสูงแต่ขายได้ในราคาต่ำ
จากเหตุปัจจัยที่กล่าวมาส่งผลให้อาชีพการเลี้ยงโคนั้นไม่พัฒนาไปถึงขั้นที่จะทำให้เกษตรกรประสบความสำเร็จและพึ่งตนเองได้
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/80287

การศึกษาเรื่องวัว

                                                                             บทคัดย่อ

          โครงงานพัฒนาเว็บไซต์ เรื่องโคนม  มีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการศึกษาประวัติความเป็นมาของโคนมน้ำนมที่ใช้บริโภค มีทั้งน้ำนมที่ได้จากพืช เช่น ถั่วเหลือง และน้ำนมที่ได้จากสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยตัวอย่างเช่น โคนม การเลี้ยงโคนมในประเทศไทยเป็นอาชีพที่สร้างงานและรายได้ให้กับเกษตรกรไทยมากว่า 40 ปี  รวมทั้งทำให้คนไทยมีโอกาสบริโภคนมมากขึ้น ในปัจจุบันการผลิตน้ำนมดิบในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ คนไทยบริโภคน้ำนมโดยเฉลี่ยถึง 20 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ในประเทศ มีเพียงประมาณร้อยละ 20 ของความต้องการทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การเลี้ยงโคนมนอกจากเป็นอาชีพที่สำคัญสำหรับเกษตรกรไทยแล้ว ยังมีผลกระทบสูงต่อสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะในวัยเจริญเติบโต   เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการเลี้ยงโคนมอนุรักษ์โคไว้ไม่ให้สูญหายซึ่งโคนั้นทำประโยชน์ให้กับเกษตรกรมากมายไม่ว่าจะเป็นพิธีมงคลต่าง ไม่ว่าจะเป็นการรีดนมแล้วนำนม  ที่ได้จากการีดนมนำไปขายก็สามารถทำรายได้ให้กับเกษตรกรได้มากมาย
              
             
ดังนั้น กระผมจึงได้คิดค้นที่จะทำโครงงานเรื่องโคนม  เพื่อสนับสนุนให้คนไทยหันมาใส่ใจการเลี้ยงโคนม โดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่การเลี้ยงโคนม

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ลักษณะโคสายพันธุ์


                                                    https://youtu.be/8qmnCDJuVPQ

การผสมเทียมวัว


                                                         https://youtu.be/Qk5FbsniH1c

ขั้นตอนการผสมเทียมวัว

     ก่อนที่จะมีการผสมเทียมวัว ต้องตรวจสอบก่อนว่าแม่วัวตัวใดมีความเป็นสัดซึ่งพร้อมจะผสมเทียมได้ โดยแม่วัวที่เป็นสัดจะยืนนิ่งเมื่อมีตัวอื่นมาปีนทับน้ำนมลด มีนํ้าเมือกใสไหลออกจากปากช่องคลอดและเยื่อเมือกช่องคลอดบวมแดง และเพื่อยืนยันการเป็นสัดให้ทำการล้วงตรวจการเป็นสัดทางทวารหนักโดยสวมถุงมือและหล่อลื่นตรวจดูสภาพของคอมดลูก ตัวมดลูก ปีกมดลูก โดยคอมดลูกควรมีลักษณะแน่นแข็งตัวมดลูกและปีกมดลูกควรมีลักษณะแข็งแต่มีความหยุ่นตัวสูงขั้นตอนการผสมเทียมวัว ประกอบด้วย1) การเตรียมปืนผสมเทียม     โดยละลายน้ำเชื้อในน้ำอุ่น 35-37 องศาเซลเซียส นาน 30 วินาที จากนั้นเช็ดหลอดบรรจุน้ำเชื้อให้แห้ง แล้วบรรจุใส่ในปืนผสมเทียม ครอบด้วยพลาสติกชีทและแซนนิตารีชีท2) การสอดปืนผสมเทียมผ่านเข้าไปในคอมดลูก     ใช้มือข้างหนึ่งล้วงไปที่ลำไส้ใหญ่ จับคอมดลูกไว้และยกขึ้นให้อยู่ระดับเดียวกับปืนผสมเทียมจากนั้นใช้หัวแม่มือกดหาส่วนที่เป็นรูเปิดของคอมดลูกซึ่งจะเป็นช่องทางที่จะสอดปืนผ่านเข้าไปในคอมดลูกเมื่อพบแล้วให้สอดปลายปืนฉีดนํ้าเชื้อไปจนชนนิ้วหัวแม่มือจากนั้นหลบหัวแม่มือออกปลายปืนจะผ่านเข้าไปในรูของคอมดลูก
     การที่จะทราบว่าการผสมเทียมประสบผลสำเร็จหรือไม่ ให้สังเกตการเป็นสัดของแม่วัว ซึ่งโดยธรรมชาติถ้าวัวมีรอบการเป็นสัดมาปกติ และไม่ตั้งท้อง ทุก 20-21 วัน จะแสดงอาการเป็นสัด ดังนั้นถ้าผสมเทียมติด ในอีก 21 วัน วัวจะไม่แสดงอาการเป็นสัด จากนั้นอีก 45-60 วัน ให้เจ้าหน้าที่มาตรวจท้อง ถ้าพบว่าปีกมดลูกมีการขยายมากกว่าปกติ แสดงว่ามีการตั้งท้อง 

                     ชนิดของวัวโคนม

ในการทำโครงงานพัฒนาเว็บไซต์ เรื่องโคนม  ผู้ศึกษาได้รวบรวมแนวคิดทฤษฎีและหลักการต่างๆ จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
               
  พันธุ์โคนม โคนมแบ่งออกเป็น  2  ประเภทใหญ่  ๆ  คือ
1.พันธุ์โคนมที่มีถิ่นกำเนิดในแถบร้อน เช่น พันธุ์เรดซินดี้, ซาฮิวาลเป็นต้น จะสังเกตได้ง่ายคือ  โคนมพวกนี้ จะมีโหนกหลังใหญ่และทนร้อนได้ดีแต่ให้นมได้ไม่มากนัก
 2.พันธุ์โคนมที่มีถิ่นกำเนิดในเขตหนาว หรือเรียกโคยุโรป มีอยู่ด้วยกันหลายพันธุ์ซึ่งโคยุโรปนี้สังเกตได้ ง่ายคือไม่มีโหนกที่หลัง  คือจะเห็นแนวสันหลังตรง  มักไม่ค่อยทนต่ออากาศร้อนพันธุ์โคที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย
 2.1.โคนมพันธุ์ทีเอ็มแซด (TMZ)
เป็นโคนมพันธุ์ผสมที่เกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชียนพันธุ์แท้กับแม่พันธุ์ซึ่งมี สายเลือดอเมริกันบราห์มันสูง  มีสายเลือดโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน75%กรมปศุสัตว์ปรับปรุงพันธุ์นี้ให้เป็นพันธุ์โคนมหลักของประเทศ เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีฟาร์มขนาดเล็กหรือเกษตรกรที่เริ่มเลี้ยงโคนม
 
 2.2.โคนมพันธุ์ไทยฟรีเชี่ยน (TF) 
           เป็นโคนมพันธุ์ผสมที่มีสายเลือดโคนมพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยนหรือขาว-ดำ มากกว่า 75% พันธุ์นี้เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีฟาร์มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ หรือเกษตรกรที่มีการจัดการ การให้อาหารที่ดี
 หลักการเลือกซื้อโคนม
                ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรจะเริ่มต้นเลี้ยงโคนมด้วยวิธีใดก็ตามควรจะมีหลักในการพิจารณาเลือกซื้อ    โคนมบ้าง เพื่อให้ได้สัตว์ ที่มีคุณภาพดี ซึ่งหลักในการพิจารณาเลือกซื้อโคนมดังกล่าวมีอยู่หลายประการอาจกล่าวแนะนำพอสังเขปได้ดังนี้  
1. ไม่ว่าจะเลือกซื้อโคขนาดใดก็ตามต้องสอบถามประวัติ ซึ่งหมายถึง สายพันธุ์และความเป็นมาอย่างน้อยพอสังเขป
2.  ถ้าเป็นโครีดนมควรจะเป็นแม่โคที่ให้ลูกตัวที่ 1 ถึง  ตัวที่ 4               
3.  ถ้าเป็นแม่โคที่รีดนมมาหลายเดือนควรจะตั้งท้องด้วย
4.  ถ้าเป็นโคสาวหรือแม่โคนมแห้งก็ควรจะเป็นแม่โคที่ตั้งท้องด้วยเพื่อเป็นการย่นระยะเวลาจะได้รีดนมเร็วขึ้น
5.  ควรเป็นโคที่มีประวัติการให้นมดีพอใช้และต้องปลอดจากโรคแท้งติดต่อและ           โรควัณโรค

          การเลี้ยงและดูแลโคนม
 แม่โค จะให้นมหรือมีน้ำนมให้รีดก็ต่อเมื่อหลังจากคลอดลูกในแต่ละครั้ง   ซึ่งจะให้นมเป็นระยะยาวสั้นมากน้อยต่างกัน ขึ้นกับความสามารถของแม่โคแต่ละตัวพันธุ์และปัจจัยอื่นอีกแต่โดยทั่วไปจะรีดนมได้ประมาณ  5 - 10  เดือน นมน้ำเหลืองควรจะรีดให้ลูกโคกินจนหมด  ไม่ควรนำส่งเข้าโรงงานเป็นอันขาดและควรให้อาหารแก่แม่โคอย่างเพียงพอเพื่อแม่โคจะได้ไปสร้างน้ำนมและเสริมสร้างร่างกายส่วนอื่น ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ได้อย่างเพียงพอภายหลังจากคลอดลูก   โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ  30 - 70  วัน หลังจากคลอด  มดลูกจะเริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติแม่โคจะเริ่มเป็นสัดอีก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแม่โคแสดงอาการเป็นสัดภายหลังคลอดน้อยกว่า25วัน  ยังไม่ควรให้ผสม  เพราะมดลูกและอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์เพิ่งฟื้นตัวใหม่ ๆ ยังไม่เข้าสู่สภาพปกติ   ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ควรจะรอให้เป็นสัดครั้งที่  2  เกิดขึ้นจึงค่อยผสม   ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาประมาณ  45 - 72  วัน หลังจากคลอด

          การคลอดลูก
โดยทั่วไปแม่โคจะตั้งท้องประมาณ  283  วัน  หรือประมาณ  9  เดือนเศษ   ในช่วงนี้แม่โคจะได้การเอาใจใส่ดูแลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารเป็นพิเศษ   เพราะลูกในท้องเจริญขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นไปอย่างรวดเร็วในระยะก่อนคลอดประมาณ  45 - 80  วัน ควรเพิ่มอาหารผสมให้แก่แม่โคท้อง  เพื่อแม่โคจะได้นำไปเสริมสร้างร่างกายส่วนที่สึกหรอ   และนำไปเลี้ยงลูก   หรือนำไปสร้างความเจริญเติบโตสำหรับอวัยวะบางอย่างที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่   เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุดและเพื่อไม่ให้แม่โคซูบผอมสำหรับแม่โคที่กำลังให้นม   เมื่อตั้งท้องลูกตัวต่อไปควรจะหยุดรีดนมก่อนคลอดประมาณ  45 - 60  วัน สำหรับแม่โคท้องแรกหรือท้องสาวหรือแม่โคที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ (อายุไม่ถึง 5 ปี)
แม้จะให้ลูกมาแล้ว 1 หรือ 2 ตัวก็ตาม ก่อนคลอดลูกตัวต่อไปควรจะหยุดพักการรีดนมเร็วกว่าแม่โคที่โตเต็มที่แล้ว อย่างน้อยก่อนคลอดประมาณ 45 - 60 วัน เพราะแม่โคได้มีเวลาเตรียมตัวได้พักผ่อนร่างกายและอวัยวะต่างๆบ้างมิฉะนั้นแม่โคอาจจะได้รับผลกระทบกระเทือนนั่นหมายถึงผลเสียหายที่จะตามมาภายหลังได้ เช่น ร่างกายจะชะงักการเติบโตเพราะอาหารไม่พอร่างกายไม่สมบูรณเมื่อคลอดลูกออกมาลูกโคอ่อนแอมีช่วงระยะการให้นมในปีต่อไปสั้นลงผสมติดยากทิ้งช่วงการเป็นสัดนานและอื่นๆ เป็นต้น

          การเลี้ยงดูลูกโค          
ก่อนที่จะพูดถึงการเลี้ยงลูกโคควรจะทำความรู้จักกับนมน้ำเหลืองก่อน นมน้ำเหลือง คือน้ำนมที่ผลิตออกมาจากแม่โคในระยะแรกคลอด จะผลิตออกมานานประมาณ 2-5  วัน ต่อจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นนมธรรมดา ลักษณะของนมน้ำเหลือจะมีสีขาวปนเหลืองมีรสขม มีคุณสมบัติคือ จะมีภูมิคุ้มโรค อีกทั้งช่วยป้องกันโรคที่เกิดกับระบบลำไส้และผิวหนัง และยังเป็นยาระยายท้องอ่อนๆ ของลูกโคอีกด้วยมีคุณค่าทางอาหารสูง เมื่อลูกโคคลอดมาใหม่ ๆ ควรแยกลูกโคออกจากแม่โคทันที และควรจะให้กินนมน้ำเหลืองจากแม่โคภายใน ชั่วโมงหลังคลอดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเร็ว ลูกโคควรได้กินนมน้ำเหลืองราว 2 - 5 วัน ให้กินวันละ เวลา เช้า,เย็น

                  การป้องกันโรคในโคนม
                โรค เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำความเสียหายให้แก่ผู้เลี้ยงโคนมไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นกับฟาร์มใดอาจทำให้ถึงกับต้องเลิกล้มกิจการได้ การป้องกันโรคโคนมควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. เลี้ยงแต่โคที่แข็งแรงสมบูรณ์และปลอดจากโรค  
2. ให้อาหารที่มีคุณภาพดีและมีจำนวนเพียงพอ  
3. จัดการเลี้ยงดูและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงให้เหมาะสม
           
           อาหารและการให้อาหาร
            โคนมเป็นสัตว์สี่กระเพาะ หรือที่เรียกว่า สัตว์เคี้ยวเอื้อง ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ประเภทนี้จะมี 2 ชนิด  คือ อาหารหยาบ  เช่น หญ้า ถั่วอาหารสัตว์ ฟางข้าว และอาหารข้น เช่น อาหารผสมในการให้อาหารแก่โคนม อาหารทั้ง 2 ชนิดจะมีความสำคัญเท่าๆ กันและต้องมีความสัมพันธ์กันเพื่อที่จะทำให้โคนมสามารถให้น้ำนมได้สูงสุดตามความสามารถของโคแต่ละตัวที่จะแสดงออก
                  
                     การรีดนม
                การรีดนมมีอยู่ 2 วิธี  ควรคำนึงถึงและถือปฏิบัติในการรีดนม
1.การรีดนมด้วยมือ
2.การรีดนมด้วยเครื่อง
3.ควรรีดให้สะอาด
4.ควรรีดให้เสร็จโดยเร็ว
5.ควรรีดให้น้ำนมหมดเต้า